โปรแกรมห้องสมุด Digital Librarian on Cloud

ถึงคราวต้องคลาวด์!!

แต่ไหนแต่ไรมา การพัฒนาโปรแกรมจะแยกเป็น 2 แบบคือ Windows Application กับ Web Application ซึ่งแม้จะทำงานตอบสนองจุดประสงค์ได้เหมือนกันเกือบจะ 100% แต่ทั้ง 2 แบบ ก็มีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป

Windows App คือการใช้งานโปรแกรมเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ที่เราคุ้นเคย โดยจะติดตั้งโปรแกรมบนเครื่องลูก (Client) อย่างน้อย 1 เครื่อง กับเครื่องแม่ (Server) ที่ทำหน้าที่จัดเก็บฐานข้อมูล เก็บไฟล์มัลติมีเดีย เช่นภาพปก และโปรแกรมสืบค้นผ่านเว็บ บราวเซอร์ (Web Browser เช่น Chrome, Edge, IE, Firefox)

อย่างไรก็ดี บางหน่วยงานที่มีทรัพยากรจำกัด อาจใช้เครื่องคอมพ์เครื่องเดียวทำหน้าที่เป็นทั้ง Client และ Server ก็ได้

โปรแกรมแบบ Windows App

ส่วน Web App – เป็นโปรแกรมที่ทำงานบน Web Browser ทั้งหมด โดยจะติดตั้งโปรแกรม ฐานข้อมูล และโปรแกรม ลงบนเครื่อง Server ส่วนเครื่องที่ใช้ทำงาน ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม เพียงเปิดโปรแกรม Web Browser แล้วพิมพ์ url (ที่อยู่ของโปรแกรม) ในช่อง Address ก็สามารถใช้งานได้ทันที

โปรแกรมแบบ Web App

ถึงตรงนี้ หลายท่านอาจคิดว่า ระบบ Web App น่าจะดีกว่าเพราะทำงานได้จากทุกที่ แต่ในความเป็นจริง ลูกค้ามากกว่า 90% เลือกระบบ Windows App หลังดูเดโมเปรียบเทียบวิธีการใช้งาน เพราะ Windows App ตอบสนองการทำงานได้ดีกว่า สามารถออกแบบให้มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้ (User friendly) มากกว่า การใช้งานร่วมกับฮาร์ดแวร์ก็ทำได้ดีกว่า การพิมพ์รายงาน พิมพ์สันปก พิมพ์บาร์โค้ด ทำได้ง่าย ดี และสวยงามกว่า ฯลฯ

แต่ปัญหาสำคัญของ Windows App คือหากต้องการให้สมาชิกสืบค้นข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้ ต้องใช้เงินลงทุน และการดูแลค่อนข้างมาก บางแห่งใช้วิธีเช่าพื้นที่ Hosting และอัพโหลดข้อมูลหนังสือเป็นระยะๆ แต่ข้อมูลก็จะไม่ Online Realtime หนังสืออาจถูกยืมไปแล้ว แต่สถานะบนเว็บแจ้งว่า ยังอยู่ที่ชั้น

ระบบ Cloud คือทางออก

ระบบ Cloud เป็นระบบที่ผู้ให้บริการ ให้เช่าและให้ใช้พื้นที่ เสมือนเป็น Server ของเราเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวปะปนกับใคร ทำให้สามารถติดตั้งฐานข้อมูล ติดตั้งโปรแกรมสืบค้น และกำหนดค่าต่างๆ เพื่อให้โปรแกรมแบบ Windows App. สามารถเชื่อมต่อไปยังฐานข้อมูลได้ และเพราะระบบ Cloud อยู่บนอินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว จึงสามารถให้บริการสืบค้นผ่านอินเตอร์เน็ตได้ และเป็นข้อมูลแบบ Online Realtime

ข้อดีของระบบ Cloud คือหน่วยงานไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่อง Server ไม่ต้องคอยดูแลรักษา ไม่ต้องคอยอัพเกรด ไม่ต้องคอยแบ็กอัพข้อมูล ฯลฯ ผู้ให้บริการ Cloud จะทำการสำรองทุกอย่างตามรอบระยะเวลา หรือหากต้องการให้สำรองถี่ขึ้น ก็สามารถอัพเกรดการบริการได้ เหตุผลสำคัญ คือการดูแลลูกค้าของบริษัท ในฝั่งที่เกี่ยวกับฐานข้อมูลหรืออื่นๆ บนเครื่อง Server จะทำให้ได้ง่ายขึ้นมาก เมื่อลูกค้าพบปัญหาสามารถแจ้งมายังบริษัท บริษัทจะสามารถเข้าไปจัดการแก้ไขปัญหาได้ทันที เปรียบเทียบกับบางองค์กรที่การเข้าถึง Server ทำได้ยาก เนื่องจากนโยบายด้านการรักษาความปลอดภัยของหน่วยงาน

จ่ายค่าบริการเป็นรายปี

ราคาเริ่มต้นและค่าใช้จ่ายรายปีของระบบ on Cloud ต่ำกว่าแบบขายขาดอย่างมาก ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คือค่าเช่าพื้นที่ (ซึ่งบริษัทจ่ายให้กับผู้ให้บริการอีกทอดหนึ่ง) ทดแทนด้วยการไม่ต้องจัดซื้อ จัดหาเครื่อง Server ไม่ต้องดูแลบำรุงรักษา คอยแก้ปัญหาเครื่อง อีกส่วนคือค่าใช้งานโปรแกรม และการให้บริการหลังการขายของบริษัท

การใช้โปรแกรมแบบจ่ายรายปี เป็นเทรนด์ที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก หน่วยงานราชการเริ่มมองเป็นเรื่องปกติ เหมือนกับการจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการซื้อขาดราคาหนักๆ คือ หากเห็นว่าโปรแกรมไม่ดี ใช้แล้วมีปัญหา ก็สามารถยกเลิก ไม่ใช้บริการต่อไปได้ อย่างไรก็ดี หากใช้แล้วโอเค อยากเปลี่ยนมาเป็นแบบซื้อขาด บริษัทก็มีข้อเสนอที่แฟร์ๆ ตามข้อ 3 ที่หน้านี้

สวัสดีครับ.