ระบบงาน (Module) โปรแกรมห้องสมุด Digital Librarian
หมายเหตุ : ระบบทั้งหมด ทำงานได้ทั้งแบบ on Prem (on Premise คือติดตั้งฐานข้อมูลและระบบสืบค้นบนเครื่อง Server ของหน่วยงาน) และ on Cloud (ติดตั้งบนระบบคลาวด์)
เพื่อให้เห็นภาพรวมของโปรแกรมห้องสมุดว่ามีระบบอะไร ทำงานอะไรได้บ้าง จึงขอนำเสนอรายการระบบงานย่อย (Module) พร้อมคำอธิบายสั้นๆ โดยตัวโปรแกรมจะมีระบบงานหลัก 4 ระบบ คือ ระบบที่ 1 ถึง 4 ส่วนที่เหลือเป็นระบบเสริม ที่บริษัททำมาเป็น Option ให้เลือกจัดซื้อจัดหามาใช้ ในเวลาที่ต้องการหรือจำเป็นต้องใช้เท่านั้น
- ระบบงานลงทะเบียน (Cataloging)
เพื่อลงทะเบียนหนังสือและสื่อต่างๆ (ยกเว้นวารสาร-ดัชนีวารสาร) แนวคิดการออกแบบ ต้องง่ายที่สุด ขั้นตอนการทำงานต้องน้อยที่สุด ลดโอกาสที่ผู้ใช้จะทำงานผิดพลาดให้มากที่สุด ให้ทุกอย่างจบในหน้าเดียว
ข้อมูลที่เห็นว่า สามารถเติมให้ได้ ก็เติมให้ทันที เช่นเลขทะเบียน วันลงทะเบียน เติม ฉ. หรือ c. สำหรับฉบับที่ เติม ล. หรือ v. สำหรับเล่มที่ การเติม หน้า หรือ p. สำหรับจำนวนหน้า ตามภาษาหนังสือหลักของหนังสือ
ในการเพิ่มชื่อเรื่อง มีระบบตรวจสอบและแสดงชื่อที่ซ้ำกับที่กรอก หากพบว่า เป็นเรื่องเดียวกัน ผู้แต่งคนเดียวกัน ปีพิมพ์ พิมพ์ครั้งที่เดียวกัน สามารถเพิ่มสำเนาได้ทันที แต่หากพบว่า เป็นเรื่องเดียวกัน แต่ครั้งที่พิมพ์ หรือเล่มที่ แตกต่างกัน ก็สามารถ Copy ข้อมูลแล้ว แก้ไขเพื่อลงทะเบียนเป็นเล่มใหม่
ที่สำคัญ ต้องให้การลงทะเบียนเกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ปัญหาลงรายการสำนักพิมพ์ อย่างซีเอ็ด ยุเคชั่น หรือ ยูเคชั้น หรือ ซีเอ็กยุเกชั่น ฯลฯ ชื่อผู้แต่ง เช่น ประเวศ วะสี หรือ ประเวส วะสี หรือ ประเวท วะสี ฯลฯ ต้องไม่มีหรือมีน้อยที่สุด เพราะหากผิด สมาชิกจะหาหนังสือเล่มนี้ไม่พบ (ในกรณีที่พบว่าข้อมูลผิด โปรแกรมมีหน้าจอสำหรับ การแก้ไขข้อมูล โดยไม่ต้องไล่หา ไล่เปิด ไล่แก้ทีละรายการ)
ข้อมูลผู้แต่ง หัวเรื่อง คำสำคัญ ลงได้ตามคความเป็นจริง ตามที่ต้องการ ไม่จำกัดแค่ 3-4 ช่อง เพราะยิ่งใส่มาก โอกาสที่หนังสือจะถูกค้นหาพบก็มีมากขึ้น
การพิมพ์บาร์โค้ด พิมพ์สันปก สามารถพิมพ์บนสติ๊กเกอร์ลาเบลสำเร็จรูป (Lab Sticker) พิมพ์แล้วลอกออกมาใช้ ไม่ต้องตัดเป็นช่องๆ เอง ถ้าใช้ยังไม่หมดแผ่น สามารถนำมาใช้พิมพ์ต่อได้ ถ้าเปลี่ยนเครื่องพิมพ์แล้วพิมพ์ไม่ตรงช่อง ลอกออกมาแล้วตัวหนังสือขาด ผู้ใช้สามารถแก้ไขปรับแต่งตำแหน่งได้เอง ฯลฯ
- ระบบงานสืบค้นทรัพยากร (OPAC or Inquiry)
เป็นระบบที่ผู้ใช้คือ สมาชิกหรือผู้ใช้บริการห้องสมุด จึงออกแบบมราให้เข้าใจง่าย ดูแล้วรู้ทันที ว่าจะใช้อย่างไร มีระบบสืบค้นจากหลากหลายแหล่งค้น เช่น ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง สำนักพิมพ์ ฯลฯ สามารถระบุประเภทวัสดุหรือไม่ระบุก็ได้ สามารถระบุปีที่พิมพ์ที่ต้องการ ตั้งแต่ ถึง หรือไม่ระบุก็ได้
เมื่อพบ ระบบจะแสดงข้อมูลที่ถูกต้องรวดเร็วและครบถ้วนเช่น รายชื่อหนังสือ รายละเอียดในแต่ละเล่มตามที่ลงทะเบียน รวมถึงจำนวนสำเนาที่พบ สถานที่เก็บ, สถานะแต่ละสำเนา หากสำเนาไหนถูกยืมอยู่ ก็จะแแจ้งว่ามีกำหนดคืนเมื่อไหร่ รวมถึงสามารถคลิ๊กชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง เพื่อดูว่า มีหนังสือเล่มอื่นที่มีผู้แต่งคนเดียวกัน หรือหัวเรื่องเดียวกันกับที่คลิ๊กอีกหรือไม่
- ระบบสมาชิก (Patron)
เพื่อเพิ่ม ลบ แก้ไขข้อมูลสมาชิก สามารถระบุประเภทสมาชิก เพื่อใช้กำหนดเงื่อนไขการยืมคืนที่แตกต่างกัน รองรับการใช้เลขบัตรประชาชน เป็นรหัสสมาชิก รองรับการใช้บัตร RFID การสแกนลายนิ้วมือ สแกนใบหน้า สามารถถ่ายภาพสมาชิกด้วยกล้อง Web Cam มีระบบพิมพ์บัตรสมาชิก เป็นต้น
สำหรับห้องสมุดสถานศึกษา ที่มีสมาชิกเข้าออกจำนวนมากในแต่ละปี บริษัทมีระบบนำเข้าข้อมูลสมาชิกจากไฟล์ Excel ไว้รองรับ โดยแทนที่จะให้ปรับเรียงคอลัมภ์ใน Excel ตามที่โปรแกรมกำหนด แต่บริษัทเปลี่ยนแนวคิด ให้ผู้ใช้ปรับโปรแกรมตามเรียงคอลัมภ์ในโปรแกรม ตามไฟล์ Excel จึงไม่ต้องคอยปรับไฟล์ Excel ในแต่ละปี
เมื่อนำเข้าระบบจะจัดการข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ เช่นการเพิ่มข้อมูลสำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่เข้าใหม่ อัพเดทข้อมูลนักศึกษาเก่าเช่น ย้ายห้อง ย้ายคณะ เปลี่ยนชื่อ นามสกุล ฯลฯ และเปลี่ยนประเภทสมาชิกเป็นพ้นสภาพ เมื่อระบบไม่พบชื่อสมาชิกในไฟล์ Excel - ระบบงานยืมคืน (Circulation)
หัวใจสำคัญของระบบนี้คือ ต้องง่ายและรวดเร็ว เพราะเป็นระบบที่ต้องใช้งานทุกวันที่เปิดทำการ และเป็นระบบงานที่มีผู้มารอรับบริการ การออกแบบระบบ จึงเน้นให้มีขั้นตอนการทำงานที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน อาจกล่าวได้ว่า Digital Librarian คือต้นแบบของแนวคิดการออกแบบระบบที่ไม่ต้องสลับหน้าจอการยืม กับการคืน ไม่ต้องคลิ๊กที่ช่องหนึ่ง เพื่อสแกนบาร์โคัดบัตรสมาชิก แล้วไปคลิ๊กที่อีกช่องพื่อสแกนบาร์โค้ดหนังสือ เพราะทุกอย่างทำได้ที่ช่องเดียวกัน แม้แต่การรับชำระค่าปรับ ในการยืมคืนปกติจึงไม่ต้องสลับเครื่องมือไปมาให้สับสนวุ่นวาย
เมื่อมีการสแกนยืม ระบบจะตรวจสอบเงื่อนไขต่างๆ ให้โดยอัตโนมัติ และจะแจ้งเตือนด้วยเสียงและข้อความ หากพบความผิดปกติตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ เช่น ยืมเต็มโควต้าแล้ว สมาชิกอยู่ใน Blacklist หรือหมดอายุสมาชิกไปแล้ว หรือมีหนังสือค้างเกิน มีค่าปรับค้างเกินกำหนด เป็นต้น และจะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ตัดสินใจเองว่า จะให้ยืมหรือไม่
หากส่งคืนเกินกำหนด และมีค่าปรับ สามารถรับค่าปรับบางส่วน และแสดงค่าปรับที่ค้างชำระเมื่อใช้บริการในครั้งๆ ไป มีระบบคำนวณเงินทอน นอกจากนี้ บรรณารักษ์สามารถพิจารณาลดค่าปรับ หรือไม่ปรับตามที่เห็นสมควรได้
รองรับการระบุสมาชิกได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่พื้นฐานที่สุดคือ สแกนบาร์โค้ดบนบัตร การคีย์รหัสสมาชิก การค้นหาโดยกรอกชื่อสมาชิก(ที่หน้าจอยืมคืนได้โดยตรง) การใช้บัตร RFID และมี Option ให้เลือกใช้เช่น ใช้บัตรประชาชน สแกนลายนิ้วมือ และล่าสุดการสแกนใบหน้า - ระบบสืบค้นและให้บริการผ่านเว็บ บราวเซอร์ (Web OPAC)
ทำหน้าที่เช่นเดียวกับระบบงานสืบค้นทรัพยากร (ระบบที่ 2) แต่สะดวกกว่า เนื่องจากไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม เพียงเปิดเว็บ บราวเซอร์ อาทิ Chrome, Edge, Firefox ฯลฯ พิมพ์ url หรือที่อยู่ของระบบ ก็สามารถใช้งานได้ทันที (และสามารถ add เป็น Bookmarks หรือตั้งค่าเป็นหน้าแรก หรือเลือกเมนู Install page as app.. เพื่อเปิดใช้ในคราวต่อไป โดยไม่ต้องพิมพ์ url)
เนื่องจากไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมบนเครื่องที่ใช้สำหรับสืบค้น จึงสามารถค้นได้จากทุกเครื่องที่อยู่ในเครือข่าย และยังรองรับการสืบค้นผ่านอินเตอร์เน็ตได้ด้วย โดยเฉพาะหากใช้งานระบบคลาวด์ (Cloud) สมาชิกจะสามารถสืบค้น หรือดูข้อมูลต่างๆ ได้แบบทุกที่ ทุกเวลา
บริษัท ออกแบบให้ผู้ใช้สามารถคลิ๊กดูรายละเอียดของหนังสือเล่มที่ต้องการในหน้าจอที่แสดงรายการที่พบได้โดยตรงทันที สมาชิกจึงไม่ต้องคลิ๊กสลับหน้าจอกลับไปกลับมา ทำให้สมาชิกรู้สึกสะดวกสบายมากกว่า
ระบบนี้ นอกจากใช้สืบค้นแล้ว ยังสามารถเรียกดูข้อมูลที่น่าสนใจ อาทิ รายชื่อหนังสือใหม่ (ในช่วงระยะเวลาที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ เช่น 30 วัน 60 วัน ฯลฯ) ดูข้อมูลหนังสือที่ถูกยืมมากที่สุด (Top hit) หนังสือแนะนำ ดูประวัติการยืม สถานะการยืมสมาชิก การจอง(เมื่อใช้ระบบจองและบริหารการจอง) และยืมต่อได้ด้วยตัวเอง ฯลฯ
- ระบบงานวารสาร (Periodical)
เพราะการลงทะเบียนวารสารมีรายละเอียดที่แตกต่างจากหนังสือและวัสดุสารสนเทศอื่นๆ จึงไม่เหมาะที่จะลงทะเบียนด้วยหน้าจอเดียวกับการลงทะเบียนหนังสือ (แต่ก็พอกล้อมแกล้มใช้ได้ หากต้องการเพียงให้รู้ว่า มีหรือไม่มีวารสารฉบับที่ต้องการเท่านั้น และไม่ได้มีการเก็บวารสารไว้นานๆ หลายๆ ปี) ที่แตกต่างกับสื่ออื่นๆ คือภายใต้ชื่อเรื่องเดียวกัน วารสารจะมีฉบับต่างๆ ออกตามวาระ และมีเนื้อหาภายในแต่ละฉบับที่หลากหลาย (ซึ่งหาก เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจ สามารถลงทะเบียนในระบบดัชนีวารสาร ที่จะกล่าวถึงต่อไป) ระบบนี้ เป็นเรื่องของการสร้างรายการวารสารที่จะได้รับภายในอายุสมาชิก ว่า จะได้รับวารสารปีที่ ฉบับที่ วันเดือนปีอะไรบ้าง และทำการลงทะเบียนรับ เมื่อได้รับจริง - ระบบดัชนีวารสาร (Journal Indexing Module)
เนื้อหาบทความ ข้อเขียน ที่อยู่ในวารสารฉบับใดๆ ที่บรรณารักษ์ เห็นว่าน่าสนใจ จะถูกนำมาลงทะเบียนภายใต้ระบบนี้ โดยจะมีระบุรายละเอียดเช่นชื่อบทความ, ชื่อผู้เขียน, อยู่ในวารสารอะไร ฉบับไหน หน้าที่เท่าไหร่ เป็นต้น - ระบบ Import ข้อมูลตามมาตรฐาน Marc21
เพื่อนำเข้าข้อมูลจากห้องสมุดอื่นๆ (ทั้งในและต่างประเทศ ที่เปิดให้ Download) ที่อยู่ในรูปแบบ Marc21 เข้ามาลงทะเบียนโดยไม่ต้องกรอกข้อมูลเอง อย่างไรก็ดี ประโยชน์ของระบบนี้ จะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับข้อมูลหนังสือที่จะลงทะเบียน ว่ามีอยู่หรือไม่ในระบบอินเตอร์เน็ต สำหรับห้องสมุดที่มีหนังสือภาษาต่างประเทศ มีโอกาสการใช้ประโยชน์ได้มากกว่า ขณะที่ในประเทศไทย อาจได้ประโยชน์น้อยเนื่องจาก ห้องสมุดที่ให้ดาวน์โหลดข้อมูลแบบ Marc21 ยังจำกัดอยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาให้รองรับการนำเข้าข้อมูลที่อยู่ในรูป MarcXML ด้วย - ระบบหลากสื่อ (Multimedia)
สำหรับการใส่ภาพปก ภาพสมาชิก และไฟล์มัลติมีเดีย เช่น ไฟล์ภาพ , ไฟล์เสียง, ไฟล์วิดิโอ, PDF, ไฟล์ Word, Excel, Powerpoint ฯลฯ ลงในระบบห้องสมุด เพื่อให้ผูัใช้บริการ สามารถเปิดดู อ่าน ฟัง ได้
ล่าสุด บริษัทได้เปลี่ยนวิธีการนำเข้าไฟล์ไปยังเครื่อง Server จากเดิมที่ใช้วิธีการแชร์ โฟลเดอร์ และวิธี FTP ซึ่งยุ่งยากและเสี่ยงต่อการถูกโจมตี มาเป็นการใช้ sFTP ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่า
นอกจากนี้ ยังรองรับการใส่ url (ลิงค์ที่อยู่ของไฟล์) เช่น Ebook แจกฟรี, วิทยานิพนธ์ ผลงานวิชาการ ฯลฯ ที่มีอยู่แล้ว ทั้งในเครือข่ายภายใน (Intranet) หรือบน Internet จึงลงทะเบียนไฟล์ Ebook หรือเอกสารต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก เพราะไม่ต้องดาวน์โหลดไฟล์มาใส่ในเครื่อง Server จึงไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บ - ระบบจองและบริหารการจอง (Reservation)
กรณีที่หนังสือที่ต้องการไม่พร้อมให้บริการ ผู้ใช้บริการสามารถทำรายการจอง ยกเลิกหรือเปลี่ยนรายการที่ต้องการจองได้ด้วยตัวเอง บรรณารักษ์สามารถแจ้งไปยังคิวจองอันดับถัดไป เมื่อได้รับคืนหนังสือ ผ่าน App Telegream (เมื่อใช้ระบบ Telegream notify) - ระบบสำรองฐานข้อมูล (Backup)
เพื่อสำรองฐานข้อมูล ลดความเสี่ยงหากเกิดปัญหากับฐานข้อมูล เช่น ติดไวรัส ฮาร์ดดิสก์เสีย เป็นการสำรองลงเครื่องที่ใช้งาน (Client) แต่ละเครื่อง หากเกิดปัญหาที่เครื่องแม่ข่าย (Server) ที่ใช้เก็บข้อมูล จะสามารถนำข้อมูลล่าสุดที่สำรองที่เครื่องลูกมาใช้งานได้ โดยการสำรองจะเก็บในรูปไฟล์ที่ถูกบีบอัด ระบุชื่อไฟล์เป็นปีเดือนวันและเวลาที่สำรอง เพื่อไม่ให้ทับกัน และจัดเก็บลงใน Drive d: เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาไวรัส - ระบบการแจ้งเตือนผ่าน App Telegram (Telegram Notify)
การส่ง Notify หรือข้อความไปยังสมาชิก ถือเป็นบริการที่ช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของห้องสมุดในแง่การให้บริการในเชิงรุก ข้อความที่ส่งได้แก่ การส่งข้อความเมื่อมีการยืม พร้อมกำหนดวันส่งคืน การส่งข้อความเมื่อมีการคืน มียอดค่าปรับ ข้อความเมื่อชำระค่าปรับ เพื่อเป็นหลักฐาน การส่งข้อความเพื่อเตือนให้ส่งหนังสือที่ถึงกำหนดส่งวันนี้ และ/หรือในวันทำการถัดไป ส่งผลการจอง และแจ้งให้รับหนังสือจอง เมื่อมีผู้มาคืนหนังสือแล้ว เป็นต้น โดยข้อความเหล่านี้ เป็นการส่งแบบส่วนตัว ถึงสมาชิกโดยตรง
ขณะที่ การแจ้งรายการหนังสือใหม่ รายการหนังสือที่บรรณารักษ์แนะนำให้อ่าน สามารถส่งเข้ากลุ่มสมาชิกได้ ไม่ต้องให้โปรแกรมไล่ส่งทีละคนๆ
สำหรับ Telegram เป็น App ที่ใช้สำหรับรับส่งข้อความ โทร และอื่นๆ เช่นเดียวกับ LINE ในประเทศไทย App Telegram อาจไม่เป็นที่รู้จักเท่า LINE แต่จากข้อมูลยอดการใช้งานทั่วโบก พบว่า Telegram เป็น App ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 4 มียอดผู้ใช้ประมาณ 1,000 ล้านบัญชี (อันดับ 1 WhatsApp-3,000ล้านบัญชี อันดับ 2 WeChat-1,400 ล้านบัญชี อันดับ 3 Messenger-1,000 บัญชี) ขณะที่ LINE อยู่อันดับ 8 มียอดผู้ใช้ประมาณ 200 ล้านบัญชี
ในทางปฏิบัติเนื่องจาก LINE เป็น App ที่ได้รับความนิยมในไทยเราจึงใช้ App นี้ในการรับส่งข้อความทั่วไปตามปกติ และจะใช้ App Telegram ในการรับข้อความ Notify โดยปัจจุบัน โปรแกรมระบบงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างประเทศ เริ่มใช้ Telegram ในการรับ-ส่ง Notify กันมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจาก LINE ยกเลิกการให้บริการ Notify เมื่อต้นปี 2568
ข้อดีประการหนึ่ง (ที่แตกต่างจาก LINE) คือ สมาชิกที่ต้องการสมัครรับ Notify จากห้องสมุด สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ผ่าน QR code โดยทางห้องสมุดไม่ต้องดำเนินการใดๆ (สำหรับ LINE สมาชิกต้องสมัครับบริการ Notify จากทาง LINE ก่อน โดยต้องกรอกข้อมูล และทำตามขั้นตอน เพื่อขอรับ Token ซึ่งเป็นข้อความตัวอักษรผสมตัวเลขยาวกว่า 20 ตัวอักษร จนต้อง Copy เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ห้องสมุด Copy ไปแปะในฐานข้อมูลสมาชิก ซึ่งยุ่งยากทั้งสมาชิกและเจ้าหน้าที่)
ในการใช้งาน Telegram Notify ก็ไม่ได้เพิ่มภาระงานให้เจ้าหน้าที่ เนื่องจากบริษัทได้พัฒนาให้งานส่วนใหญ่ที่ต้องทำ ให้โปรแกรมทำให้โดยอัตโนมัติ เช่นเมื่อมีการยืม-คืนหนังสือ-จ่ายค่าปรับ โปรแกรมจะส่งข้อความไปยัง Telegram ของสมาชิกได้ทันที หรือการแจ้งเตือนให้คืนหนังสือที่ถึงกำหนดคืนวันนี้ และ/หรือ วันทำการถัดไป ก็มีหน้าจอให้เจ้าหน้าที่ตั้ง Schedule ด้วยวิธีง่ายๆ (ไม่ต้องยุ่งยากกับการทำ Task Schedule บน Windows) เพื่อให้ Server ส่งข้อความไปยังสมาชิกโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด
งานอย่างการแจ้งรายการหนังสือใหม่ รายการหนังสือแนะนำ การทวงหนังสือ/ค่าปรับ บรรณารักษ์สามารถเลือกทำ เมื่อต้องการทำ ด้วยวิธีง่ายๆ เช่นเดียวกัน - ระบบ RFID
ทำงานควบคู่กับอุปกรณ์ Hardware ต่างๆ เช่น เครื่อง Reader สำหรับทำการยืมคืน, ประตูป้องกันขโมย, อุปกรณ์สำหรับเช็คสต็อค รวมถึง Tag หรือแผ่นแผงวงจรที่ติดอยู่ในหนังสือแต่ละเล่ม ฯลฯ การสื่อสารระหว่างโปรแกรมกับ Hardware ทำผ่านโปรโตคอลหรือรูปแบบการสื่อสารที่เป็นมาตรฐานสากล ที่เรียกว่า SIP2 ซึ่งจะดีกว่า การเขียนโปรแกรม API เพื่อติดต่อ Hardware โดยตรง เพราะการสื่อสารแบบ SIP2 เป็นมาตรฐานสากลที่บริษัทผู้ผลิตต้องมีเพื่อรองรับอยู่แล้ว จึงจะไม่ผูกติดกับ Hardware ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
การนำระบบนี้มาใช้ ส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการให้บริการยืมคืนด้วยตัวเอง เนื่องจากผู้ยืมจะต้องทำรายการยืมก่อน ระบบจะล้างสัญญาณกันขโมยให้เมื่อทำรายการยืมเสร็จ ผู้ยืมจึงสามารถนำหนังสือออกจากห้องสมุดได้ โดยเครื่องกันขโมยจะไม่ส่งสัญญาณเตือน ขณะที่ระบบแถบแม่เหล็กกันขโมยที่สอดไว้ในหนังสือแต่ละเล่ม ที่นิยมใช้กันในช่วงก่อนหน้านี้ จะไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องการให้บริการยืมคืนด้วยตัวเองได้ เพราะขั้นตอนในการยืม และการล้างสัญญาณกับขโมย เป็นคนละขั้นตอนกัน จึงสามารถล้างสัญญาณได้ โดยไม่ต้องทำรายการยืมก็ได้
- ระบบสแกนลายนิ้วมือ (Fingerscan)
ใช้เพื่อแสดงตัวตนในระบบยืมคืน และนับผู้เข้าใช้บริการ ทำให้ไม่ต้อง พกบัตร หรือคีย์รหัส ข้อจำกัดของระบบนี้โดยทั่วไป คือปัญหาลายนิ้วมือไม่ชัด ชื้นไป แห้งไป หรือสกปรก ทำให้สแกนไม่ได้หรือสแกนได้ยาก แต่ก็เป็นส่วนน้อย ซึ่งอาจแก้ปัญหาด้วยการคีย์รหัสแทน
- ระบบสแกนใบหน้า (Facescan)
ใช้แสดงตัวตนเช่นเดียวกับระบบสแกนลายนิ้วมือ ข้อดีคือ ผู้ใช้ไม่ต้องสัมผัสอุปกรณ์ ในระบบนับผู้เข้าใช้บริการสามารถใช้ได้กับกล้องที่ Built-in ติดกับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือกล้อง Webcam ราคาหลักร้อยติดหน้าจอและใช้สแกนได้
สำหรับระบบยืมคืน สามารถใช้กล้อง Built-in หรือ Webcam ได้เช่นกัน แต่สมาชิกจะไม่เห็นตอนสแกนว่า ใบหน้าอยู่ในกรอบหรือไม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องใช้จอคอมพิวเตอร์ในการให้บริการ จึงอาจดูไม่สะดวกเช่นเดียวกับการถ่ายภาพบัตรประชาชน บริษัทจึงพัฒนาระบบให้สามารถใช้กล้องมือถือมาใช้ในการให้บริการยืมคืนได้ - ระบบสืบค้น ยืม และรับบริการข้อมูลอื่นๆ ผ่าน Smartphone ระบบ Android (Library Services on Mobile)
ระบบนี้ ทำงานเหมือนระบบสืบค้นบนเว็บบราวเซอร์แทบทุกประการ ยกเว้นการสืบค้นที่มีเพียง 3 แหล่งค้นหลักคือ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง แต่มีข้อได้เปรียบกว่าระบบสืบค้นผ่านเว็บ บราวเซอร์ คือ ผู้ใช้บริการสามารถดูได้จากแบบทุกที่ ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะระบบ Android หรือ IOS ได้แก่ Smartphone, Tablet, IPad, IPhone นอกจากนี้ในการสืบค้น สมาชิกสามารถใช้ประโยชน์จากฟังก์ชั่น Speech Recognition ในการพูดคำที่ต้องการค้นหา แทนการพิมพ์ได้
อย่างไรก็ดี การสืบค้นแบบทุกที่ ทุกเวลา เครื่อง Server ต้องสามารถใช้บริการสืบค้นผ่านระบบ Internet เท่านั้น โดยอาจใช้โปรแกรมห้องสมุดบนระบบ on Cloud แต่หากเป็นระบบปิดใช้เฉพาะภายในองค์กร จะใช้งานผ่านเครือข่ายไร้สาย (WIFI) แทน ซึ่งอาจไม่สะดวกเพราะเครื่อง Server และอุปกรณ์ต้องอยู่ใน WIFI เดียวกัน
ดูตัวอย่างหน้าจอทำงาน บางระบบ ได้ที่ ตัวอย่างหน้าจอ ครับ เป็นหน้าจอก่อนการอัพเดทนะครับ
คำถามทั่วไป
Digital Librarian มีคุณสมบัติอย่างไร
คุณสมบัติเด่นของ Digital Librarian ได้แก่
- ลดงานหลักให้เหลือเพียงการลงทะเบียน และให้บริการยืม-คืน งานบางงานเช่น สืบค้น ตอบคำถามผู้ใช้บริการ การจอง จัดลำดับ คิวจอง ตรวจสอบคิวจอง การทำบัตรรายการ การออกรายงาน ฯลฯ เป็นหน้าที่ของโปรแกรม Digital Librarian
- มีระบบการสื่อสารข้อมูลกับผู้ใช้ตลอดเวลา ทั้งการแจ้งผลการทำงาน การเตือน หรือขอการตัดสินใจ เช่นยืมเกินสิทธิ์แล้วจะให้ยืมหรือไม่
- Digital Librarian ถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย ไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ต้องตามแก้ในภายหลัง
- Digital Librarian ถูกออกแบบให้ใช้งานได้สะดวก ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว เช่นการให้บริการยืม-คืน ไม่ต้องสลับหน้าจอยืมคืน สามารถให้บริการกับสมาชิกแต่ละรายได้อย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องสแกนบาร์โค้ดเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องสลับไปใช้เม้าส์ หรือคีย์บอร์ด ยกเว้นกรณีจ่ายค่าปรับ ที่ต้องคีย์ตัวเลขค่าปรับ หรือกรณีที่โปรแกรมต้องการการตัดสินใจ เช่น จะให้ยืมหรือไม่หากยืมเกินสิทธิ์ หรือหมดอายุสมาชิก เป็นต้น
- มีความเป็นอัตโนมัติค่อนข้างสูง เช่นการเลื่อน-ร่นกำหนดคืนตามประเภทวันหยุด, การคำนวนค่าปรับ, การผ่อนชำระค่าปรับ การตรวจสอบสิทธิ์
- มีความถูกต้อง แม่นยำสูง เช่นการสืบค้น ใช้ตรรกะที่ให้ผลถูกต้องแม่นยำ
- มีความยืดหยุ่นสูง เช่นผู้ใช้สามารถเปลี่ยนกำหนดวันคืนได้ แก้ไขตัวเลขค่าปรับได้ เพื่อยกเลิกการปรับ หรือลดค่าปรับได้
- มีระบบป้องกันและแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
- ได้สถิติ และรายงานต่างๆ ครบถ้วน รอบด้าน โดยไม่ต้องทำงานเพิ่ม
- รายงานที่ต้องโฟกัสเรื่องช่วงวันเวลา จะสามารถกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการได้ คือตั้งแต่วันที่ถึงวันที่ ไม่ถูกจำกัดว่า เป็นรายงานประจำวัน เดือน หรือปี จึงสามารถพิมพ์ย้อนหลังได้ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกันได้ เช่น สถิติการยืมไตรมาสแรกของปีนี้ เทียบกับไตรมาสแรกของปีที่แล้ว
- รายงานประเภทอันดับสูงสุด เลือกกี่อันดับก็ได้เช่น Top 5, Top 10, Top 100 ฯลฯ แสดงรายการทั้งหมดที่อยู่ในข่าย ไม่ตัดที่ 5 รายการสำหรับ Top5 หรือ 10 รายการสำหรับ Top 10 แต่จะแสดงรายการทั้งหมดที่อยู่ในลำดับเดียวกัน เช่นรายงานสมาชิกที่ยืมหนังสือมากที่สุด 10 อันดับ หากอันดับ 10 มี 20 ราย ก็จะแสดงรายชื่อทั้ง 20 ราย เป็นต้น
- มีระบบอำนวยความสะดวก สำหรับการทำงานประจำวัน อาทิ รายชื่อวารสารที่จะได้รับ กำหนดหนังสือแนะนำ รายงานวัสดุสารนิเทศที่สั่งซื้อและถึงกำหนดจะได้รับ
- พัฒนาโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้ฐานข้อมูลที่รองรับปริมาณข้อมูลได้มหาศาล
- มีราคาสมเหตุสมผล และยืดหยุ่นตามความต้องการใช้งานจริง และสอดคล้องกับตามงบประมาณของห้องสมุด สามารถเพิ่มระบบงานอื่นๆ ที่ต้องการได้ในภายหลัง
- เป็นระบบที่พัฒนาโดยคนไทย มีทีมงานที่พร้อมแก้ไขปัญหา และปรับเพิ่มระบบตามความต้องการ
- มีระบบการให้บริการทางโทรศัพท์ อีเมล์ อินเตอร์เนท และบริการถึงสถานที่
- มีการพัฒนาและปรับปรุงการทำงานของระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ระบบงานที่ดีที่สุด
ฯลฯ
จากคุณสมบัติข้อ 8 การป้องกันและแก้ไขข้อผิดพลาดเป็นอย่างไร ช่วยยกตัวอย่างด้วย
ตัวอย่างง่ายๆ เช่น หนังสือชื่อเรื่องนึง พิมพ์ชื่อผู้แต่งเป็น ประเวศ วะสี อีกชื่อเรื่องนึงพิมพ์ผิดเป็น ประเวศร์ วะสี เรื่องอื่นๆ อาจพิมพ์เป็น ประเวส วะสี, ประเวศื วะสี, ประเวศ์ วสี ฯลฯ เป็นต้น ปัญหาคือ เมื่อสมาชิกต้องการสืบค้นหนังสือที่แต่งโดย ประเวศ วะสี ก็จะไม่มีโอกาสได้พบหนังสือที่พิมพ์ชื่อผู้แต่งผิดเป็น ประเวศร์ วะสี, ประเวส วะสี, ประเวศื วะสี, ประเวศ์ วสี อะไรต่างๆ นานา นี้เลย ข้อผิดพลาดแบบนี้ จากประสบการณ์การแปลงข้อมูลจากโปรแกรมอื่น เพื่อเปลี่ยนมาใช้โปรแกรม Digital Librarian พบว่า บางห้องสมุดมีมากอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่เฉพาะชื่อผู้แต่ง ข้อมูลอย่างหัวเรื่อง คำสำคัญ ซึ่งใช้เป็นแหล่งสืบค้นหลัก ก็มีพิมพ์ผิดอยู่ไม่น้อย ที่พบมากที่สุดคือ สำนักพิมพ์ เช่นซีเอ็ด มีพิมพ์ผิดเกือบ 100 แบบ
ข้อผิดพลาดดังกล่าว จะเกิดกับโปรแกรมทั่วไป ที่ต้องคีย์ข้อมูลเหล่านี้ทุกครั้ง เช่น ไม่ว่าจะเคยคีย์ชื่อผู้แต่งประเวศ วะสี มากี่สิบกี่ร้อยรอบก็ตาม เมื่อจะลงทะเบียนหนังสือใหม่ ถ้าเป็นชื่อผู้แต่งท่านนี้ ก็ต้องคีย์ ประเวศ วะสี เต็มๆ อย่างนี้ทุกครั้ง
แต่หากเป็นโปรแกรมที่มีหลักการออกแบบระบบที่ถูกต้อง จะสามารถการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ได้ไม่ต่ำกว่า 90% กล่าวคือ หากผู้ใช้งานเคยลงทะเบียนชื่อผู้แต่งใดไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อจะลงทะเบียนหนังสือเล่มอื่นที่เป็นชื่อผู้แต่งเดียวกัน เพียงพิมพ์บางส่วนของชื่อเพื่อค้นหา เมื่อพบแล้วก็ดึงชื่อนั้นมาใช้ได้ ไม่ต้องคีย์ชื่อนามสกุลจนครบทั้งหมด โอกาสผิดพลาดจึงลดลงไปมาก ข้อผิดพลาดราว 10% ที่ยังอาจเกิดขึ้น จะเป็น Human Error แบบโชคร้ายสุดๆ คือพิมพ์ชื่อตอนค้นหาผิด แถมเวลาเพิ่มเป็นชื่อผู้แต่งใหม่ ก็ยังพิมพ์ผิดอีก เป็นต้น
วิธีการนี้ แม้จะฟังดูดี เพราะนอกจากลดความผิดพลาดข้างต้นทำให้สมาชิกค้นพบหนังสือที่ต้องการแล้ว ยังช่วยลดแรงลดเวลาในการต้องคีย์ชื่อ นามสกุลเต็มๆ ทุกครั้ง แต่ปัญหาที่ตามมาคือ แล้วหากยังไม่เคยมีการคีย์ผู้แต่งชื่อนี้อยู่เลยจะทำอย่างไร ต้องไม่ลืมว่า การจะใส่ชื่อผู้แต่งด้วยวิธีการนี้ (ในบางโปรแกรม)จะเริ่มจากการกดปุ่มค้นหา เพื่อเปิดหน้าจอเล็กๆ ขึ้นมา แล้วคีย์บางส่วนของชื่อผู้แต่ง เพื่อค้นหา ถ้าพบก็เลือกมาใช้ แล้วปิดหน้าจอ อันนี้ถือว่าโชคดี แต่ถ้าไม่พบ ผู้ใช้จะต้องกดปุ่มเพิ่ม พิมพ์ชื่อและนามสกุลผู้แต่งจนครบ แล้วเลือกนำไปใช้….
ยุ่งยากนะครับ! ถึงตรงนี้ บางท่านอาจบอกว่า เอาแบบแรกดีกว่ามั๊ย คีย์ชื่อ นามสกุลทั้งหมดทุกครั้งก็ได้ ไม่ต้องกดปุ่มโน้น กดปุ่มนี้ เปิดปิดหน้าจอโน้น หน้าจอนี้ เดี๋ยวจับเม้าส์คลิ๊ก เดียวพิมพ์ สลับไปมาจนวุ่นวาย ฯลฯ
ปัญหานี้ ทางบริษัทคิดมาตั้งแต่เริ่มทำโปรแกรมนี้แล้วครับ ที่คิดได้เพราะคิดแบบใจเขา ใจเรา ให้โปรแกรมเมอร์สมมติตัวเองเป็นบรรณารักษ์ จะทำอย่างไรให้ตัวเองสบายที่สุด ให้คิดแบบทำเองใช้เอง จนในที่สุด ก็ได้วิธีการที่ถือได้ว่าดีที่สุด และกลายเป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญของโปรแกรมนี้ เพราะนอกจากลูกค้าจะเห็นถึงความง่ายในการทำงานส่วนนี้แล้ว ยังเห็นถึงความตั้งใจของบริษัทในการพัฒนาโปรแกรม เพื่อให้ออกมาดีที่สุด และใช้งานง่ายที่สุด ไม่ใช่ทำโปรแกรมแบบสุกเอาเผากิน
การแก้ปัญหา บอกได้คร่าวๆ ครับว่า ไม่ว่าจะเคย หรือไม่เคยลงข้อมูลชื่อผู้แต่งท่านนั้นมาแล้วหรือไม่ก็ตาม ขั้นตอนการใส่ชื่อผู้แต่งจะแทบไม่แตกต่างกัน แถมการอัพเดทโปรแกรมในช่วงต่อมา ยังเปิดให้ผูกเลขผู้แต่งไว้กับชื่อผู้แต่งด้วย ทำให้ไม่ต้องใส่เลขผู้แต่งเองเลยอีกตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นแบบใส่เลขจริง เช่น ว123พ หรือ ว – พ ก็ตาม
นอกจากชื่อผู้แต่ง ข้อมูลอย่างหัวเรื่อง สำนักพิมพ์ คำสำคัญ ชื่อชุด ซึ่งมักจะพบซ้ำๆ กัน ก็จะใช้วิธีการลงทะเบียนแบบเดียวกันนะครับ
เรื่องการแก้ไขข้อผิดพลาด ยกไปเป็นคำถามถัดไปนะครับ.
การแก้ไขข้อผิดพลาดของข้อมูล ด้วยวิธีที่ถูกต้องหมายถึงอะไร
การแก้ไขข้อมูลของโปรแกรมทั่วไป จะเป็นการแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาด โดยการแก้ไขทีละเล่มๆ เช่นหากพบว่า มีการพิมพ์ชื่อเรื่องผิดเช่น กฏหมาย…. (ใช้ ตอ-ปะ-ตัก สะกด) แทนที่จะเป็น กฎหมาย….. (ดอ-ชะ-ดา สะกด) ก็ต้องเปิดหน้าลงทะเบียน เลือกค้นหาชื่อเรื่อง แก้ไขคำที่ผิด แล้วบันทึก ซึ่งก็ดูไม่ยุ่งยาก
แต่หากต้องการตรวจสอบว่า มีหนังสือชื่ออื่นที่ผิดอย่างนี้หรือไม่ ก็ต้องทำการค้นหา ถ้าพบว่ามีผิดเป็น 10 เรื่อง 100 เรื่อง ก็ต้องแก้ไขทีละรายการ ด้วยวิธีข้างต้นทั้ง 10 เรื่อง 100 เรื่อง
แต่สำหรับ Digital Librarian ซึ่งให้ความสำคัญกับความถูกต้องของข้อมูล (โดยเฉพาะข้อมูลที่ถูกใช้ในการสืบค้น เช่น ชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง หมวดหมู่ ฯลฯ) ได้ออกแบบหน้าจอ สำหรับค้นและแก้ไขข้อมูล ตามชนิดข้อมูลในคราวเดียวกัน คือ สามารถคีย์คำที่ต้องการค้นหา และคำที่ต้องการแทนที่ ให้โปรแกรมจัดการแก้ไขให้ทั้ง 10 เรื่อง 100 เรื่อง หรือแม้แต่ 1,000 เรื่อง 10,000 เรื่อง ได้ในคราวเดียวกัน
วิธีการนี้ เหมือนกับการค้นหาและแทนที่คำในโปรแกรมเช่น Mocrosoft word ครับ เราเรียกว่า การแก้ไขคำ
แต่มีข้อมูลอีกประเภทหนึ่งที่จะใช้วิธีการแก้ไขคำไม่ได้ ได้แก่ ชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง คำสำคัญ สำนักพิมพ์ ชื่อชุด ฯลฯ หากแก้ไขด้วยวิธีแก้ไขคำแบบข้างต้น จะทำให้มีข้อมูลเหมือนกันซ้ำๆ กันจำนวนมาก เช่นจะหาผู้แต่งชื่อประเวศ วะสี เมื่อแก้ไขด้วยวิธีแก้ไขคำ ก็จะมีรายชื่อผู้แต่งประเวศ วะสี เพิ่มมาตามจำนวนที่แก้ แต่ละรายการ ก็จะแสดงรายชื่อหนังสือของใครของมัน ซึ่งที่ถูกต้องควรมีชื่อเดียวและรวมรายชื่อหนังสือที่แต่งโดยประเวศ วะสี มาแสดงในที่เดียวกัน
การแก้ไขข้อมูลลักษณะนี้ จึงจะใช้วิธี โยกข้อมูลรายชื่อหนังสือที่ใช้ชื่อผู้แต่งที่ผิดไปรวมไว้กับชื่อผู้แต่งที่ถูก แล้วลบชื่อผู้แต่งนั้นออกจากสารบบ การทำทั้ง 2 อย่างนี้ทำในขั้นตอนเดียว ทำซ้ำจนเหลือชื่อผู้แต่งที่ถูกต้องเพียงชื่อเดียว ก็เป็นอันเสร็จสิ้น เราเรียกว่าวิธีการแก้ไขแบบนี้ว่า การย้ายรวมข้อมูล
ทั้ง 2 วิธีการ ทำให้ไม่ต้องเปิดไล่แก้ไขข้อมูลทีละรายการๆ แบบโปรแกรมทั่วๆ ไป
การแก้ไขข้อมูลทั้ง 2 แบบนี้ จำเป็นมากน้อยแค่ไหน เพราะเท่าที่ดูมา ไม่เห็นโปรแกรมอื่น พูดถึงเรื่องนี้เลย
จำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าระบบไม่มีการป้องกันการนำเข้าข้อมูลที่ผิดพลาด และเท่าที่ทราบจะมีเพียงบางระบบงานขนาดใหญ่บางระบบเท่านั้น ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
Digital Librarian มีระบบ Marc หรือไม่
Digital Librarian ได้พัฒนาระบบ Marc ภายใต้มาตรฐาน Marc21 ซึ่งเป็น Marc ที่พัฒนาจาก US Marc และ Canmarc โดยแสดงรายการ Tag และ Subfield เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับบรรณารักษ์ในการลงรายการ พร้อมระบบการ Import Marc เพื่อนำข้อมูลเข้าสู่ระบบและใช้งานได้ทันที รวมถึงการ Export Marc คุณสมบัติ ประโยชน์ และรายละเอียดเพิ่มเติม ท่านสามารถสอบถามได้จากฝ่ายขายของบริษัท
ตามข้อ 1 จะต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์กี่เครื่อง และเสปคขั้นต่ำของเครื่องควรเป็นอย่างไร
แม้มีเพียงเครื่องเดียวก็ใช้งานได้ สำหรับสเปคขั้นต่ำของเครื่อง เอาเป็นว่า ขนาดสเปคดึกดำบรรพ์ เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วเช่น ความเร็ว CPU 250 MHz หน่วยความจำ 64 M ขึ้นไป ใช้ระบบปฏิบัติการ Window98 ก็ยังสามารถใช้งานได้ เครื่องที่สเปคต่ำสุดในยุคนี้ ก็ต้องใช้งานได้เช่นกัน
ถ้าใช้ระบบอื่นอยู่แล้ว จะนำข้อมูลเดิมมาปรับใช้ได้หรือไม่ หรือต้องเริ่มกรอกข้อมูลใหม่ด้วย
กรณีที่โปรแกรมเดิมไม่มีการล็อคฐานข้อมูล หรือให้ Export ข้อมูลออกมาได้ บริษัทจะแปลง (Convert) ข้อมูลเข้าระบบใหม่ได้ แต่หากโปรแกรมเดิมล็อคฐานข้อมูล ต้องให้เจ้าของโปรแกรมเดิมปลดล็อคฐานข้อมูล หรือ Export ข้อมูลออกมาก่อน (ต้องเตรียมใจ เตรียมสตางค์ไว้ เพราะบางราย จะเรียกเก็บค่าบริการก่อนจากลาเป็นครั้งสุดท้าย)
สำหรับ ระยะเวลาการแปลงข้อมูล ขึ้นอยู่กับปริมาณของข้อมูล และความซับซ้อนของข้อมูลเดิม โดยปกติหากเป็นข้อมูลที่ใช้กับโปรแกรมเล็กๆ จะใช้เวลาในการแปลง ข้อมูลประมาณ 1-3 วัน แต่หากเป็นข้อมูลที่ใช้กับระบบใหญ่ จะใช้เวลาราว 3-7 วัน ซึ่งเมื่อแปลงข้อมูล และติดตั้งข้อมูลใหม่เสร็จ ก็สามารถเริ่มใช้งานระบบได้ทันที
แต่หากมีข้อมูลเดิมในรูป Marc หากเป็น Marc21 หรือ US Marc หรือ CanMarcที่ถูกต้อง ก็สามารถ Import เข้าระบบได้ หากเป็นระบบ Marc อื่น เจ้าหน้าที่บริษัท จะตั้งค่าตัวเลขบางตัวเพื่อนำข้อมูลเข้าระบบ
การแปลงหรือ Convert ข้อมูลให้ผลที่ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน
ความถูกต้องของข้อมูลมากน้อยขึ้นอยู่กับข้อมูลเดิม ถ้าข้อมูลเดิมผิดน้อย ข้อมูลใหม่ก็ผิดน้อยด้วย การแปลงข้อมูลเหมือนกับการ Copy มาใช้งานเท่านั้น
ไม่เคยใช้โปรแกรมอะไรมาก่อน แต่ไม่อยากคีย์ข้อมูลทีละเล่มๆ มีฐานข้อมูลให้ดึงรายการที่มีมาใช้ได้ไหม
จริงๆ ระบบถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย อย่างที่กล่าวไว้ในคำถามต้นๆ การเริ่มคีย์ข้อมูลเอง ช่วงแรกอาจดูจะลำบาก แต่เมื่อลงไปได้ระยะหนึ่งแล้ว จะเริ่มง่ายขึ้น เพราะข้อมูลเช่นชื่อผู้แต่ง หัวเรื่อง คำสำคัญ จะเริ่มมีมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องคีย์ชื่อเดิมๆ หัวเรื่องเดิมๆ จนหมดอีกต่อไป ลูกค้าที่มีจำนวนหนังสือไม่มาก จึงยินดีที่จะลงรายการข้อมูลเอง
อย่างไรก็ดี โปรแกรมมีระบบการนำเข้าข้อมูลตามมาตรฐาน Marc21 ซึ่งท่านสามารถค้นหาข้อมูลหนังสือจากเว็บห้องสมุดที่เปิดให้ค้นและ Export ข้อมูลในรูปแบบ Marc21 ออกมาแล้วนำเข้าข้อมูลที่พบในระบบได้ แต่ห้องสมุดที่เปิดให้ค้นและ Export มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัย ซึ่งรายการหนังสืออาจไม่ตรงกับหนังสือส่วนใหญ่ที่ห้องสมุดท่านมีอยู่
นอกจากเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ยังต้องใช้ฮาร์ดแวร์อะไรเพิ่มหรือไม่
ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณ ที่แนะนำคือเครื่องพิมพ์เพื่อพิมพ์รายงาน พิมพ์สติ๊กเกอร์ เครื่องสแกนบาร์โค้ด เครื่องสแกนลายนิ้วมือ กล้องถ่ายภาพสมาชิก ซึ่งอาจใช้กล้องแบบ Webcam เครื่องสแกนเนอร์ สำหรับสแกนปกหนังสือ แต่ทั้งหมดนี้ท่านอาจมีหรือไม่มีก็ได้
ระบบ Digital Librarian สามารถพิมพ์บาร์โค้ดจากโปรแกรมได้โดยตรงหรือไม่
ได้ โดยพิมพ์ได้ทั้งบนบัตรสมาชิกห้องสมุด หรือบัตรประจำตัวพนักงาน บัตรประจำตัวนักเรียน นักศึกษา กับพิมพ์ลงบนสติ๊กเกอร์ เพื่อใช้ติดหนังสือ
จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องใช้เครื่องแสกนบาร์โค้ด
ถามว่า จำเป็นไหม ต้องบอกว่า ไม่จำเป็น แต่ถ้าถามว่า ควรมีไหม แน่นอนว่า ควรมี เพราะจะทำให้การให้บริการยืมคืนทำได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องคีย์เลขทะเบียนสมาชิก และเลขทะเบียนหนังสือ ไม่ต้องลบเมื่อเวลาคีย์ผิด ทำให้การให้บริการทำได้สะดวกและรวดเร็ว